Saturday, October 4, 2014

#3 ขาว : Chapter I






ได้มีโอกาสไปนุ่งขาวห่มขาวมาครับ




แต่ก่อนจะมาเปิดไส้เปิดพุงว่าไปเผชิญอะไรในดินแดนบุญมาบ้าง


ขออินโทรฯ เข้าเรื่องก่อน ว่าการเดินทางไปครั้งนี้ มายังไง



โอกาสนี้ได้รับมาจากหัวหน้างานในบริษัทเก่าที่เคยทำงานอยู่


หัวหน้าท่านนี้ ลาออกพร้อมกันกับตัวผม ด้วยเหตุบังเอิญ



จะว่าไปแล้ว ทุกที่ ที่ผมไปทำงาน จะมีคนลาออกพร้อมกันกับผม นับตั้งแต่ที่แรกเลย


ที่ตัวผมลาออกมาได้ซักพัก หัวหน้างานก็ลาออกมาด้วย


ผมมีหัวหน้าสองคน คนแรกยังทำอยู่ คนที่สองมาไล่เลี่ยกัน ทิ้งช่วงไม่นาน



ที่พูดนี่ ไม่ได้หมายความว่า ผมจะต้องเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนอยากลาออกมาตาม


ผมแค่ งง กับการที่คนที่ใกล้ชิดที่สุดในที่ทำงานแต่ละที่ ต้องลาออกมา



ที่ ล่าสุด ก็มีพี่ท่านหนึ่งที่เคารพ และปฏิบัติงานเป็นคู่ขากันเสมอ


อยู่คนละส่วนงาน แต่งานจะต้องประสานกันเสมอ



ซึ่งก็ลาออกมาในเดือนเดียวกัน ด้วยเหตุบังเอิญ






เช่น เดียวกันกับหัวหน้างานท่านนี้


ที่ลาออกพร้อมกัน



แต่ยังคงพูดคุยด้วยกันมาอย่างต่อเนื่อง





จะว่าไปก็แปลก


หัวหน้างานที่ผมบู๊งานมาด้วยกัน จะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตผมเยอะมาก





ในชีวิตของคนส่วนมาก จะมีปัญหาที่แก้ไม่ตก และเป็นปัญหาเรื้อรัง อยู่กันคนละเรื่องสองเรื่อง


ปัญหาเรื้อรัง นั้น จะไม่ส่งผลกระทบในรูปแบบรุนแรงฉับพลัน


แต่จะเป็นตัวดูดซึมพลังงานเราออกไปอย่างช้าๆ




เหมือน แผลติดเชื้อ




ซึ่งหากปล่อยไว้นานวันเข้า


ก็ไม่แน่ว่าแผลติดเชื้อนี้จะลุกลามจนคลุมส่วนอื่นตามไปด้วยหรือเปล่า





ตัวผม ก็จับได้ว่า ตัวเราเอง ก็มีแผลเรื้อรังอยู่



เป็นแผลที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต


และเป็นแผลเดียว ที่ยังทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยให้ตนเอง บินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้สักที




ค้นหาวิธีจากกี่ผู้รู้ กี่ตำรา ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วย



เวลาก็ร่วงเลยมาสิบกว่าปีแล้ว


จึงมานึกว่า โจทย์ของเราอาจจะพิศดารกว่าชาวบ้านเล็กน้อย





ผมไม่ต้องการจะปล่อยสิ่งนี้ไว้ข้างหลัง


เพราะผมรู้ว่า ใจผมยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้เสมอ


ถ้าไม่แก้ให้เสร็จสิ้นเด็ดขาดไป สิ่งเหล่านี้จะคอยฉุดให้ผมต้องเดินวนอยู่แถวนี้เป็นแน่




ในเมื่อ หาวิธีแก้ในเส้นทางปกติไม่พบ


ผมก็ต้องลองพลิกไปหาครูในอีกเส้นทางหนึ่ง


เส้นทางนี้ ที่นับวันจะยิ่งซับซ้อน และกลายเป็นคำถามในสังคม


มีป้ายหลายอันถูกปักไว้ตรงทางเข้าว่า ‘แน่ใจเหรอ’




เส้นทางนี้ คือ ศาสนาพุทธ







ในโลกออนไลน์ ที่เราพบเจอการหลอกล่วง ฉ้อฉล หรือการทำผิดวินัย ของพระภิกษุจำนวนหนึ่ง


นั้นกลายเป็นคำถามปักอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ในพื้นที่ความคิดของใครหลายต่อหลายคน


ว่าศาสนา พื้นหลังแบ๊คกราวนด์นั้น ดีจริง หรือไม่



อย่างไร





ผมเชื่ออยู่อย่างนึงครับ


ผมเชื่อในคำว่า ‘Doer’



หรือ ผู้ลงมือทำ ซึ่งมาจากคำว่า Do บวกกับ er



เหมือน Play + er = Player ผู้เล่น



Chase + er = Chaser ผู้ไล่ล่าตาม


(หรือศัพท์ทางวงการขี้เมา หมายถึง

สิ่งที่ดื่มตามพวกเหล้าเป๊ก เหล้าshot

เพื่อป้องกันความเสียหายต่อร่างกายเนื้อจากความเข้มข้น

ซึ่งอาจจะเป็นโค้ก น้ำ หรือเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ที่ความแรงต่ำ

เช่น เบียร์ [ref: http://bit.ly/1uaBqfv] )







หลักๆ เลย คือ




ทฤษฎี และ ปรัชญา จะเป็นของปลอมทั้งหมด หากนำไปปฏิบัติแล้ว ไม่เกิดผล




เราเรียนกันอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อะไรบางอย่าง


อาจเป็นกระดาษที่รับรองว่าเรามีความรู้ในระดับนั้นระดับไหน


หรือ เป็นเกราะคุ้มภัย ไม่ให้ใครมาดูถูกเราจากมุมมองภายนอก




ส่วนตัวผม ในการเรียนรู้อะไรซักอย่าง ผมจะมองแค่เรื่องที่ว่า มันจะทำประโยชน์ ให้ใคร


ตัวผมจะหลีกเลี่ยงการรู้ไปอย่างนั้น



ผมทราบดีว่า ‘รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม’


แต่ต่อให้ความรู้นั้น มีน้ำหนักเบาก็ตาม


ความรู้สมัยนี้ จะออกแนวมาไว ไปไว ไม่ตายตัว


การรู้ไว้เฉยๆ เมื่อครั้งหนึ่ง แล้วไม่ได้นำไปใช้งาน


พอเวลาผ่านไปซักระยะ ก็พบว่าความรู้นั้น ล้าสมัยไปแล้ว




ผมไม่ได้คิดถึงว่า จะต้องเหนื่อยเพื่อให้ได้มาซึ่งตัวความรู้นั้น


แต่ผมมองเรื่อง เวลา ที่จะต้องจ่ายออกไป



เพราะอย่างนั้น ก็ผมจะเรียนรู้อะไรซักอย่าง


ผมจะมองภาพรวมของความรู้ ว่า ‘จะเอาไปทำอะไร’


ก่อน ที่จะตัดสินใจจ่ายเวลาเพื่อดึงความรู้นั้นมาเก็บ



ผมจะโฟกัสก่อน ว่าความรู้เนี่ย เอาไปทำไม ใช้อะไร


แล้วค่อยลงมือศึกษา




เพราะว่า ตัวผม เป็นคนที่คลั่งในการเสพความรู้


จนบางทีก็รู้สึกมึนๆ เนื่องจากวันๆ เอาแต่หาไอ้นั่น ไอ้นี่อ่าน



ฝรั่งเรียกสิ่งนี้ว่า ‘Over-intellect’


ซึ่ง -- ผม ไม่ intellect แถมยังติดสภาวะ over อีกตะหาก


นี่เป็นเรื่องที่ผิดมากๆ สำหรับตัวผม







หยุดก่อนท่าน !



ท่านที่บังเอิญผ่านมาอ่าน แล้วเริ่มมีแนวคิดว่า จะไม่อ่านหนังสือเลย


ก็เป็นความคิดที่ไม่ปลอดภัยซะทีเดียวนะครับ



มีคนจำนวนหนึ่งบนโลกนี้เท่านั้น ที่จะ Learn by doing ได้อย่าง 100%


อ่านหนังสือกันเถอะครับ มันช่วยเซฟเวลาได้จริงๆ


แต่ถ้าอ่าน โดยไม่เลือก อ่านไปเรื่อยๆ


ท่านอาจติดสภาวะ over-intellect




และต่อให้อ่านแบบเจาะจงแล้ว ก็อย่าเอาแต่อ่านเยอะ แล้วไม่เคยนำไปใช้เลย


มันไม่เกิดผลอะไร


(พูดจากประสบการณ์อันเจ็บปวดที่คนอื่นมองว่ารู้เยอะ แต่ตัวเองมองตัวเองว่า ความรู้ท่วมหัวฯ)






ฟังดูแล้ว เหมือนคิดมากนะครับ


แต่สุดท้าย ชีวิตคน ก็หนีไม่พ้นการคิดมากครับ



ถ้าเราไม่คิดเรื่องชีวิต


เดี๋ยวมันก็จะมีลู่ทางของมัน บีบให้เรากลับมาคิด



ถ้าตัวคุณไม่ได้คิดมากด้วยตนเอง


นั่นอาจจะแปลว่า มีใครคนหนึ่ง ในชีวิตคุณ กำลังคิดมากแทนส่วนของคุณ



ในท้ายที่สุด คนต้องคิดครับ


ต้องผ่านการพิจารณาทางเลือกโดยใครซักคน




ถ้าคุณโชคดี


คุณจะพบพาร์ธเนอร์ชีวิต ที่แบ่งกันคิด คนละ 50 - 50


หรือที่เรียกกันว่า ‘เพื่อนคู่คิด’





..ซึ่ง หาค่อนข้างยากครับ





https://lh6.googleusercontent.com/-R-BSeU25QdY/VCshAns_Y1I/AAAAAAAACJY/Z_vz8aT2A4Y/w654-h490-no/2014-10-01-04-28-21_deco.jpg




แชพเตอร์ต่อไป จะเข้าสู่เนื้อเรื่องตอนที่เดินทางไปนุ่งขาวห่มขาวแล้วนะครับ


เราจะหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง



แล้วเดี๋ยวมาดูกันครับ


ว่าอีกมิติหนึ่ง ผมจะไปพบเจออะไรบ้าง




.. มันไม่เหมือนเวลาท่านไปวัด แล้วทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทาน


ฟังพระสวดภาษาที่เราเองก็แปลไม่ออก แต่รู้สึกได้ว่าอิ่มเอมใจ เป็นสุข สบายใจ


ครั้งนี้ ผมจะต้องเอาภาษาที่แปลไม่ออกเหล่านั้น ยัดเข้าไปในตัวเอง


แล้วปฏิบัติ ให้เกิดผลลัพธ์ออกมา


ทำให้รู้ ดูให้กระจ่าง


นี่ ถือเป็นการเบิกเนตรอีกครั้งหนึ่งของชีวิต








ขอบคุณที่อ่านครับ เจอกันตอนหน้า จะตามมาติดๆ












>> ฝากคอมเม้นต์แลกเบอร์โทร !

โปรดบอกความนัยกับผม