Saturday, October 4, 2014

#4 ขาว : Chapter II






ผม มีเรื่องเรื่องหนึ่ง ต้องสะสาง








ผมบอกกับตัวเองก่อนออกเดินทางไปห่มขาวนุ่งขาวในครั้งนี้









เราทุกคน ล้วนมีโจทย์ที่ติดยึด อยู่ในใจ

บางคน วางลงได้แล้ว



แต่กับหลายคน ที่มันยังเกาะแน่นอยู่อย่างนั้น




ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น

ที่จำเป็นจะต้องหาวิธีแก้





แก้ไขให้มันรู้แล้วรู้รอดไป







“ หวัดดี ลูกพี่ ” -- คำทักทายผม ที่มีต่อหัวหน้างานเก่า ที่ชักชวนไปทำบุญด้วยกันครั้งนี้



“ เอ๊ย -- โทษทีว่ะ รอนานนิดนึง เคลียร์งานอยู่ งานตูมเลย ”

คำทักทายกลับ ตามสไตล์ของเขา





“ สบายมว๊อก ”

ผมตอบอย่างร่าเริง ผมคิดในใจแค่ว่า แค่ชวนไปนี่ ก็นับเป็นบุญมากแล้ว






ระหว่างทางที่เดินทางไป สนทนากันแต่เรื่องความเป็นไปได้ของธุรกิจ

ผมจะตาหูตื่นมาก เวลาพูดถึงเรื่องทำเงิน (เพราะผมไม่รวย)




ผมนับถือทุกคน ที่ขยันหาเงิน ด้วยความสามารถ

ไม่ใช่คนที่มีอยู่ แต่ไม่พยายามจะหาเพิ่ม ทำสบายไปเรื่อยๆ ผมก็จะไม่คุย

เพราะผมรู้ว่าตัวผม ไม่ได้มั่งมี

ขืนสนทนากับคนที่ไม่พยายามจะหาเพิ่ม ชาตินี้ผมตกต่ำระยะยาวแน่นอน





แต่เรื่องทั้งหมด ที่ไหลเวียนอยู่ในหัวผมจริงๆ กลับไม่ใช่เรื่องพวกนี้





กลายเป็นเรื่องโจทย์ข้อเดิมที่ผมยังแก้ไม่เคยตก

ผม มีสิ่ง สิ่งหนึ่ง ที่ผมรักมาก

ซึ่งเป็นปัญหามาอย่างยาวนาน

และมีแต่คนส่ายหน้าจะถอยหนี



กลับเป็นตัวผม ที่มีความดันทุรังสูง



คิดในใจแค่ว่า อย่างไร ก็ต้องหาทางออกให้กับปัญหานี้ให้ได้

แต่ตัวผมก็ศึกษาตำราหลายเล่ม และไม่เคยได้พบทางออก




จนกระทั่ง ตัดสินใจ มาในเส้นทางนี้ อย่างจริงจังกว่าเดิมหลายเท่า





และได้เดินทางกันไปเรื่อยๆ จนถึงสถานที่เป้าหมาย

เป็นวัดแห่งหนึ่ง ในภาคกลาง ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพนัก





ผมกับหัวหน้า ไปถึงที่นั่นประมาณบ่ายแก่ๆ เกือบจะเย็นแล้ว

ไปถึง ก็พบแม่ชีรูปหนึ่ง

หัวหน้าผม เป็นฝ่ายเจรจา




ที่ต้องถึงขนาดใช้คำว่าเจรจา เพราะแม่ชีที่วัดแห่งนี้ ดุจริง -- คอนธง และ ฟันเฟิม




ลูกพี่: (เดินเข้าไปในลักษณะหน่วยกล้าตาย หรือพลีชีพคามิคาเซ่ อะไรทำนองนั้น)

ลูกพี่: เอ่อ .. แม่ชีครับ คือ อยากจะมาปฏิบัติธรรม ซัก 3 ถึง 4 วันน่ะครับ

แม่ชี: (นั่งหลังตรง ก้มหน้าเล็กน้อย ท่านกำลังเขียนหนังสืออะไรบางอย่างอยู่)

แม่ชี: เริ่มวันนี้เลยมั้ย

ลูกพี่: ครับ เข้ามาปฏิบัติธรรมเย็นนี้เลยครับ

แม่ชี: ขอบัตรประชาชนคุณด้วยค่ะ


แม้ท่านจะพูดอย่างไพเราะ แต่คำที่ออกมา หนักแน่น และดุดัน

ติ๊ก คอนเฟิม




ผมก็ยื่นบัตรตามไป ด้วยใจหวั่นเกรง

แล้วก็ได้บัตร Novice หรือ บัตรผู้เริ่มปฏิบัติครั้งแรกมาครอง


เสร็จแล้ว ผม กับ ลูกพี่ ก็โดนจับแยกย้าย เนื่องจากเลเวลการปฏิบัติธรรมแตกต่างกัน

ระดับ Moderate ถูกให้ไปปฏิบัติเลย

ส่วนระดับ Novice ถูกจับเข้าคอก อบรมการวิปัสนากรรมฐานเบื้องต้น



โอ้ คุณเอ๊ย

ได้เบิกเนตรเลย งานนี้





ผมเดินเข้าไปในห้องโถงแห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ พร้อมกับรูปแม่ชีบานใหญ่ หนึ่งกรอบ


ผมเอะใจตั้งแต่แรกว่า แม่ชีรูปนี้ น่าจะไม่ธรรมดา

เพราะผม -- ไม่ว่าจะเดินไปที่วัดไหน ก็ไม่เคยเจอรูปแม่ชีวางคู่กับพระพุทธรูปมาก่อน






ผมเจอผู้ชายนั่งกันอยู่เพียง 2 คน ในที่นั้น

นอกนั้นเป็นผู้หญิงหมด



ซึ่ง ประชากรหญิง ตั้งแถวแนวนอน กินเนื้อที่ไปครึ่งหนึ่งของห้องพอดี

เมื่อผมเห็นผู้ชายนั่งกันอยู่สองคนโด่เด่

ผมจึงเดินไปตั้งเป็นหัวแถวตอนลึกที่ 3 ตามสัญชาตญาณบอยสะเก๊า




อย่ากระนั้นเลย


ซักครู่ แม่ชีรูปหนึ่ง เดินเข้ามา





เอ้า -- หนุ่มคนนั้นน่ะ ไปนั่งข้างหลัง





ผมหันซ้าย หันขวา

ดูเหมือนเราจะเด็กสุดในบรรดาผู้ชายทั้งสามคน

จึงรีบสรุปว่า ‘คงเป็นกูนี่ล่ะ’ แล้วรีบมูฟtood ไปตั้งแถวใหม่ตามที่แม่ชีบอก



แม่ชี ก็หันไปจัดโซนนิ่ง กลุ่มบรรดาสาวๆ เป็นลำดับถัดไปให้เข้าที่ทาง




เสร็จแล้ว แม่ชีจึงเดินไปนั่ง ตรงตำแหน่งกลาง ของห้อง ด้านหน้าทุกคน และเริ่มกล่าว

นำคลาสอินโทรฯ ปูฐานให้กับผู้มาปฏิบัติธรรมเลเวล Novice ทั้งหลาย



แม่ชีบอกว่า ความจริงตัวท่าน ไม่ใช่แม่ชี

ชี ต้องโกนผม

นี่เป็นแค่ผู้ถือศีล



แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็จะเรียกเธอแม่ชี เพราะความเคารพอยู่ดี





มีจุดสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ของเหล่าแม่ชีทั้งหลายที่นี่

คือ จะพูดสอนดุเป็นพิเศษ

(ผมก็โดนเข้าไปหนึ่งดอก ตอนนั่งกินอาหารกลางวัน)





https://lh3.googleusercontent.com/-hghiXKyB6ZA/VC8_zFMO06I/AAAAAAAACPU/l-VNMIcOAFY/w654-h490-no/DSC_1722-001.JPG



ผมมานั่งสังเกตต่อไปว่า

การทำให้คนรักเนี่ย ง่ายนะ



แค่ทำตัวหย่อนๆ พูดจาอ่อนต่อผู้ฟัง




แต่การจะคุมกฎรักษาระเบียบเนี่ย ยาก



ผมจึงเริ่มปิ๊งกระจ่าง ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจอหัวหน้างานดุๆ มาตลอด

ทั้งที่เขาใจดีกับคนอื่นๆ

แต่ถ้า ต้องการจะเทรนใครซักคนให้ได้ดี


เราต้องไม่หย่อนยานกับเขา

แม้เขาอาจจะไม่เข้าใจ จุดยืนของเรา ก็ตาม




แม่ชียังเฉลยอีกว่า รูปแม่ชีอีกท่านหนึ่ง ที่มาประทับอยู่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องนี้

คือ ผู้ถือศีล ที่เสียชีวิตไปแล้ว

แต่สามารถนั่งวิปัสนาได้ต่อเนื่องกันยาวนานเกิน 24 ชั่วโมง

(ถ้าจำไม่ผิด คือ 35 ชั่วโมง)

-- เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ


ฟังๆ ดูแล้ว คุณอาจสับสนเล็กน้อยนะครับ ว่าการแค่นั่งทำตัวเองให้เป็นสมาธิ

จะวิเศษอะไรกันขนาดนั้น



เอางี้ครับ ยกตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด

ถ้าคุณสามารถอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร

หลับตา แล้วเพ่งไปแค่ว่า ‘ฉันจะสร้างความสงบให้กับตัวเอง โดยทุกนาที ต้องรู้ตัว ว่าทำอะไรอยู่’


คำว่ารู้ตัวในที่นี้ คือ รู้ทุกอย่าง

เช่น เมื่อนั่งๆ ไป แล้วเมื่อย -- เราต้องกำกับขึ้นมาว่า ‘เมื่อย’


และมีคำพูดเชยๆ บวกเพิ่มเข้าไปว่า ‘หนอ’





เมื่อยหนอ





อะไร ? ทำไมต้อง หนอ

รู้แค่เมื่อยอย่างเดียวได้มั้ย





อย่างนี้ครับ


คำว่า ‘หนอ’ เป็นกลไกที่สำคัญมาก ในการคุมสติ





ในตามความเป็นจริง เราปล่อยให้ความจริงรอบตัว ถูกประดิษฐ์ไปตามความรู้สึกและจินตนาการ

อะไรบางอย่าง ที่มันไม่ได้สุขในระดับนั้นซะหน่อย

หรือไม่ได้ทุกข์เวอร์เท่านั้น จมกับทุกข์กันไปเอง



คำว่า ‘หนอ’ สั้นๆ แค่นี้แหล่ะครับ จะทำหน้าที่เข้ามาเสิร์ฟ เป็นตัวที่ทำให้ทุกอย่างทุกอารมณ์

จูนคลื่นเข้าหาความเป็นกลาง , ไม่กรด, ไม่ด่าง



เห็นไปตามสภาพ






หากใครจำเทคนิคที่ผมเขียนเคยไว้ได้ว่า

เวลาเศร้า ให้ยอมรับไปตรงๆ กับใจตัวเองว่า ‘เออ กูเศร้า’


แล้วเดี๋ยวอาการดังกล่าว มันจะหายไป





นั่น เป็นเรื่องที่ใช้ได้ผลจริง ก่อนผมจะมารู้เกี่ยวกับทางด้านวิปัสนากรรมฐาน

และผมเพิ่งมาถึงบางอ้อว่า

ในพุทธศาสนา มีเรื่องนี้อยู่ด้วย


แถมลึงลึกรายละเอียด ถึงขั้น ถอนรากถอนโคนความทุกข์ได้เลย



การทำวิปัสนานี้

แค่ทำได้เกิน 59 นาที -- โดยไม่แตะมือถือ และในหัว ไม่คิดอะไรนอกจากการสร้างความสงบ

ยุงกัดห้ามตี คันห้ามเกา เมื่อยห้ามเปลี่ยนท่านั่ง ง่วงก็ต้องมีเทคนิคบอกกับตัวเองให้ตื่น

โดยที่ ทานอาหารได้วันละ สอง มื้อ นอนวันละ หก ชั่วโมง


ทำได้ครบแค่ชั่วโมงเดียว

คุณสามารถมั้ยครับ

แต่ทุกอย่าง ต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขด้านบนนะฮะ


สนุกครับงานนี้


คุณจะได้วัดดวงกับตัวคุณเองล้วนๆ

ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด บนโลกใบนี้








พอรู้ว่าแม่ชีท่านดังกล่าว ทำได้ต่อเนื่องกันนานเกิน 1 วันเต็ม

ตัวผมก็เกิดเลื่อมใสในใจเล็กๆ และอุทาน หูวววว์ ในใจหลังได้ยินเรื่องเล่าดังกล่าว





และในชั่วโมงนั้น หลังได้ยินเรื่องเล่าของแม่ชี

มันก็มีความคิดโดดขึ้นมาในใจว่า


อย่ากระนั้นเลย

เราก็จะลองลงมือทำดูซิ ว่าวิปัสนากรรมฐานนี้ ดีจริงอย่างที่เขาล่ำลือหรือไม่





แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น







ผมเข้าไปปฏิบัติ เย็นวันพฤหัส

แล้วกลับออกมาจากดินแดนนุ่งขาวห่มขาว ในเช้าวันอาทิตย์


นอน สี่ทุ่มครึ่งโดยเฉลี่ย

ตื่น ตี 4:20


รับประทานข้าวสองมื้อ

เป็นอาหารเจ



ส่วนที่ท้าทายที่สุด คือ การถือศีล 8

ปกติศีล 5 มีหน้าตาที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี

ลักษณะปฏิบัติที่ค่อนข้างชัดเจน



แต่เอาเข้าจริงๆ ศีลห้าข้อนี้ บางข้อ ก็ลึกกว่าเท่าที่ใจรับรู้





ผมยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างศีลข้อหนึ่ง ที่ติดอันดับ Top Hit ในการรักษายาก มากที่สุด



..ไม่ใช่ข้อ 5 ครับ อันนั้นยังพอไหว

ข้อ 1 ตบยุง , อันนั้นก็ยังรักษาง่าย



เดี๋ยวเอาไว้โม้ในฉากต่อไปครับ

















ตอนหน้า จะเป็นตอนจบ ซึ่งจะเก็บรวบเรื่องราว



มาแบไต๋ ศีลข้อที่รักษายากของแท้



และเฉลยผลลัพธ์การประกอบการ ที่ได้จากการปฏิบัติครั้งนี้นะฮะ











ปล. รักคนอ่าน


>> ฝากคอมเม้นต์แลกเบอร์โทร !

โปรดบอกความนัยกับผม