Thursday, October 30, 2014

#21 ยิกยิก




เมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา ก็มีโอกาสไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด
ซึ่งก็คือเพื่อนสมัยประถม ที่ได้กล่าวในตอนที่ #20 นั่นแหล่ะครับ
ครั้งนี้ที่ไป ไม่ได้รู้สึกแปลกหูแปลกตาอะไรเป็นพิเศษ
เพราะความตื่นเต้น ถูกใช้ไปกับการมาเยือนเมื่อรอบแรกครั้งก่อนหน้านั้นไปแล้ว

ผมออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณ 6 โมงเย็น
ด้วยรถตู้ชินกันเซ็งมหายอดจรวดของผม
มุ่งหน้าออกจากสถานีอนุสาวรีย์เมโธรโพลิส สู่ดินแดนโคราช ด้วยความเร็วหลายกิโลเมตรต่อชั่วโมง

ส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชอบการนั่งรถโดยสารความเร็วสูง
และดื่มด่ำกับบทเพลงพร้อมกับการมองภาพสองข้างทางไปตลอดการเดินทาง

ถ้าการเดินทางไหน ผมได้นั่งเบาะตรงกลางนี่ จะชักตาย
จริงจริง

ระหว่างทาง
ผมนั่งนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย เกี่ยวกับเรื่องกาลเวลาของคน

ในใจยังคงวนอยู่กับเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ช่วงนี้ เคลียร์คำว่า 'อดีต' ไปได้เยอะ

คำว่าเคลียร์ในที่นี่
ไม่ใช่เดินไปชักปืนยิงเปรี้ยงใส่โจทย์ หรืออะไรที่เป็นการกระทำอันรุนแรงจนเจ็บหัวนม (?)

แต่เป็นการเคลียร์กับใจตัวเราเอง
บอกกับตัวเองว่า ทุกอย่าง มันได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว
และแม้จะใช้เทคนิคอะไรก็ตามที่จะเรียกบางอย่างกลับคืนมาได้
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราไปพบคนใหม่ ไปเจอประสบการณ์ใหม่ไปเลย

คนเรา เกิดมาต้องจากกันอยู่แล้ว
ถ้าบางอย่างมันเปราะบางขนาดนี้ ควรให้มันจบ ณ บัดนี้
ดีกว่าลากยาวออกไป ซึ่งมันไม่เกิดผลดี

และก่อนผมจะเพ้อไปมากกว่านั้น
ก็พบว่าตัวเองถึงที่หมายเสียแล้ว
ณ เวลา สี่ทุ่มนิดนิด

..ความจริงผมนัดเพื่อนไว้เมื่อ สามทุ่มยี่ฯ

มันก็ออกแนวฉุนเฉียว กระเปี๊ยวหงุดหงิด
ผมก็ได้แต่ขอโทษขอพูย เพราะควบคุมสถาณการณ์และเวลาไม่ดีจริงจริง

มาถึง
เพื่อนก็ไปรออีกที่จุดนึง
ผมก็ไปยืนคอยอีกสถานที่นึง
เนื่องจากไอ้รถตู้บ้านี่มันจอดสองที่

เจริญ



RUSH featuring THE MUST
------------------

Verse 1. Shake hand

เมื่อผมมาถึง สิ่งแรกที่ต้องทำก็หนีไม่พ้นการติดต่อไปให้ราชรถมาเกยตื้น
เพื่อพาผม ไปสู่รัง ที่จะใช้ซุกหัวบรรทม

ปัญหา คือ

หมายเลขที่ท่านเรียก..

เวรและ

ผมยิงเบอร์ออกไปยังเพื่อนรัก อย่างติดต่อ และรัวถี่
ในใจนึกอะไรไม่ออก เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่น้องหมา และผู้คนแปลกหน้า
รถซักคันที่จะยิงตัวเองกลับไปยังเมืองกรุงก็ไม่มีแล้ว
มีเพียงสองสิ่งที่ทำได้คือ โทรให้ติด
หรือนอนแถวแถวนั้น จนรุ่งสาง

เอาล่ะ งานเข้า

ผมก็ยืนกระหน่ำเบอร์จนข้อนิ้วล็อค
น้องหมาแปลกหน้าก็ทำท่าจะรุมข่มขืนผม พร้อมยิ้มหวานให้จนผมเห็นฟันครบทุกซี่

คิดในใจว่า ไม่อยากจะฉีดวัคซีนสุนัขบ้าเซ็ทที่สองแล้ว

คือรอบก่อนหน้า มาบ้านไอ้เพื่อนคนนี้ มันก็พาผมไปโดนหมากัดบนภูเขา
เวรจริงจริง

ผมจึงอพยพตัวเอง ไปยืนในจุดที่ห่างไกลกลุ่มมาเฟียน้องหมา
ผมยังไม่อยากโดนส่งไปขายแรงงานแถบชายแดนประเทศบั๊กก่ะบู๊วว์
แล้วตั้งหน้าตั้งตาตั้งสติอยู่กับโทรศัพท์

การติดต่อ ต้องบังเกิดและสำเร็จผล
อย่าว่ากระนั้นเลย รัวโทรศัพท์จนกระดูกนิ้วเสื่อม ก็คงต้องทำ

รัวอยู่ 14 ครั้ง
จนมีสายเข้า

The Must




ผมนี่รีบสไลด์โทรศัพท์เพื่อรับสายอย่างแรง
จนโทรศัพท์จะสไลด์หลุดจากมือตกท่อระบายฯ

-- การสนทนาครั้งที่ 1 --

R: เฮ้ย ไอ้หำ ใจหายหมด แม่งโทรไม่ติด
The Must: เออ เออ กูไม่ใจจืดใจดำกับมึงปล่อยให้มึงนอนก่ะหมาหรอก
The Must: กูมารออยู่นานแล้วเนี่ย ทำไมไม่ลงมาซักทีวะ
R: .. ...เดี๋ยวก่อนเลย มึงรออยู่ไหน
The Must: ก็คิวรถตู้คราวที่แล้วที่กูไปส่งมึงไง
R: กูว่าและ -- กูรออยู่อีกคิวนึง ที่คราวที่แล้ว พ่อเจ้าสาวมึงขับเลยไปไงครับ
The Must: อ๋อเหรอ อ๋อเหรอ เดี๋ยวกูไปเดี๋ยวเนี้ย
R: เร็ว เร็ว ไอ้ cheers หมาจะ แดk กูแล้วเนี่ย !

-- วางสาย รอบแรก --


ความเบาโล่งในใจก็บังเกิดขึ้น เสมือนมีคนผายลมในห้องแคบแคบแล้วเราเปิดเครื่องระบายอากาศระบายกลิ่นอึดอัดนั่นออกไป

..ผมก็ไปยืนรอ ในที่มืด แต่เป็นทางแคบที่อย่างไรซะ ผมก็จะเห็นเพื่อนหากขับผ่าน
แล้วเพื่อนมันก็ขับผ่านผมไปจริงจริง

ความจริงผมไม่รู้หรอกว่าคันไหนเพื่อนผม
ผมสังเกตมอไซด์ที่ขับช้า และมองซ้ายมองขวาเอา
แต่มันผ่านไปแล้ว ผมเลยต่อสาย


-- การสนทนาครั้งที่ 2 --

R: เฮ้ย กูว่ามึงผ่านดาวที่กูอยู่ไปแล้วว่ะ
The Must: ใช่มะ -- กูว่ากูก็ไม่เห็นมึง แล้วมึงอยู่ไหน
R: กูอยู่ตรงแยกนี่เลยเนี่ย กูอยู่ในความมืด
The Must: แล้วมึงไปทำ here อะไรในความมืด ช่วยออกมายืนแสดงตัวหน่อยครับ
R: ได้แจ้ ~~

-- วางสาย --



แล้วมันก็ขับวนกลับมาหาผม แล้วไปหาอะไรกิน ก่อนเข้าบ้าน บรรทม

Verse 2. Trippin' begin

วันถัดมา ก็เป็นวันพักผ่อนเต็มรูปแบบ
ออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซด์คันน้อยน้อย
วิ่งลัดเลาะไปตามถนนที่ตัดผ่านท้องนา
กับเมฆบนท้องฟ้า ที่ปกคลุมด้วยเมฆฝน และไอเย็นของต้นไม้สองข้างทาง
ฝนโปรยใส่เป็นครั้งคราว แต่ไม่ถึงกับเปียกแฉะ
พอให้หัวชื้น ชวนเป็นหวัดเล่นเล่น

แผนการเดินทางเยอะมากมาก
แต่เอาเข้าจริง เจ้าของทัวร์ พาทัวร์ไม่ไหว

ตัดโลเคชั่นออกไปเยอะมาก
นี่ถ้าทัวร์เสียตัง ผมยื่นเรื่องฟ้องสคบ. ให้เอาเรื่องให้ถึงที่จุด

ปัญหาคือ ผมไปอยู่บ้านมันฟรี กินข้าวฟรี แถมทำตัวไม่เป็นประโยชน์อะไรซักนิดเดียว
ผมเลยโวยวายไม่ได้ ไม่งั้นผมโชว์พาวฯ ไปแล้ว
ฝากไว้ก่อนเหอะ

วันเวลาผ่านไปแบบมึนมึน
รู้ตัวอีกทีคือ วันรุ่งขึ้นแล้ว ต้องกลับแล้ว เพราะมาอยู่แค่สองวัน

แต่เรื่องราวมันซ่อนอยู่ในตอนขากลับเนี่ยแหล่ะ
เพราะผมขอนั่งรถซ้อนมอเตอร์ไซด์กลับไปที่จังหวัดที่มันพักอยู่ปัจจุบันด้วย
แล้วค่อยไปต่อรถกลับกรุงเทพเอา


ความจริงไอ้เพื่อนผมมันมีตังเยอะมาก
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่ซื้อรถซักคัน
มันบอกกับผมว่า เวลาเราขี่มอเตอร์ไซด์ เราจะเห็นภาพที่คนอื่นไม่เห็น

แล้วผมก็เห็นเลย ในวันนั้น ที่โดยสารกลับมอเตอร์ไซด์ไปกับมัน


ผมว่า การเดินทางที่แท้จริง มันอยู่ในขากลับนี่แหล่ะ

สองสหายเดินทางผ่านเส้นทางที่ตัดผ่านภูเขา
เจออุโมงต้นไม้หนาทึบ และป่าไม้สูงที่ดูลึกลับ
ฝนก็ทำท่าจะตก ทำให้ได้ลุ้นระทึกว่าจะเปียกตอนไหน

เวลาขับผ่านถนนโล่ง ก็จะเห็นเป็นภาพก้อนเมฆสีมืด ตัดก้อนเมฆขาวไกลไกลตั้งเป็นฉากหลัง
แล้วมีไร่เกษตรชาวบ้านซึ่งไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว หรือธัญพืชอื่น เป็นทิวทัศน์ตรงกลาง
และเห็นถนนทอดยาวออกไป เป็นฉากตรงหน้า

ผมเชื่อว่า ถ้าผมถ่ายรูปมาด้วยกล้องมือถือด้วยเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน
มันยังสื่อความสวยงามเหล่านั้นได้ไม่หมด

ไปต่อได้ซักพัก ก็เจอม่านฝนบล็อคกั้นทางข้างหน้าอย่างเห็นได้ชัด
จึงต้องจอดสวมเสื้อกันฝนกันอย่างไว
มันเป็นภาพเหมือนในหนัง ที่มีสสารอะไรบางอย่างโปรยเข้ามาหาตัวเอก
แล้วตัวเอกต้องทำเวลากับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก่อนที่สสารจะไล่เป็นฉากแนวยาวมากระทบตัว

สองสหายก็สี่คูณสร้อย สวมเสื้อคลุมกันยิกยิก
เพื่อนผมมันก็สวมเสื้อคลุมสีฟ้าสว่าง ดูแล้วเหมือนเทเลทับบี้ตัวที่ 5 แต่หน้าไม่ให้

ผมก็สวมเสื้อคลุมสีเทา ลุคเหมือนหนูน้อยหมวกแดง
แต่สภาพเหมือนถูกโดนรุมโทรมจนตายคาโพรงหญ้า แล้วกลับชาติไปเกิดด้วยสภาพกายก่อนสิ้นใจ

(ยังไงของมัน)

เดินทางไป ก็คะเนเส้นทางกันไป
เจอภาพรถติดเส้นทางหลัก ที่ติดแบบรถติดกรุงเทพตอน 7 โมงเช้า
ก็ตัดสินใจยูเทิร์นไปใช้เส้นทางลึกลับ และได้เข้าสู่อุโมงต้นไม้รอบที่สอง


Final Verse. Bon Voyage 

บรรยากาศเย็นแบบหน้าหนาว ปนความชื้น ที่รายล้อมรอบทิศทาง
ช่วยระหว่างทางมันมีความสวย จนผมลืมอะไรต่อมิอะไรที่คิดอยู่ในหัวไปในขณะนั้น
ลืมแม้กระทั่งจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพ

ช่วงขณะที่ประทับใจที่สุดคือ ช่วงถนนที่ตัดผ่านฐานภูเขาสองลูก
เป็นเฟรมติดตาที่ปลื้ม และยังเอาออกจากความทรงจำได้ยาก
ขณะที่พิมพ์อยู่นี่ ภาพนั้นก็ยังชัดเจนอยู่

เส้นทางลึกลับนี้ ตัดผ่านภูเขาหลายลูก และบ้านของผู้คนจำนวนน้อย

จนเกิดคำถามว่าหากรถเสียกลางทางตรงนี้ งานระดับช้างคงเข้าแน่นอน



https://lh6.googleusercontent.com/-YdZc31-8lu4/VFCNuCwLuBI/AAAAAAAACSg/lLhyyS_e53c/w302-h536-no/DSC_1826-001.JPG



ในช่วงเวลาของแต่ละหนึ่งการเดินทาง
เราอาจมัวเสียเวลาไปอิมเมจิ้น กับภาพต้นทาง และปลายทางอันสวยสดงดงาม

สำหรับตัวผมนั้น อะไรที่คาดหวังเอาไว้ มักไม่สวยงามอย่างที่อิมเมจิ้นเลยแม้แต่น้อย

แต่ในช่วงแต่ละกันเดินทางของชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมา
ความสวยงามมันเกิดขึ้นตรงกลางทางเสมอ
เรื่องราวที่เจอครั้งแรก
การต้องรับมือกับปัญหาที่ไม่ได้เตรียมตัว
การที่ลูกตาได้รับภาพที่มันไม่คุ้นเคยเลยมาก่อน

สิ่งเหล่านี้ มันเป็นเสน่ห์มากจนทำให้ผมเสียนิสัยในการตั้งเป้าหมายชีวิตในช่วงเวลาของตนเองไป
และยอมรับว่ายึดติดกับความรื่นเริงลักษณะนี้จนหลายครั้งลืมโลกแห่งความจริงไป
แต่นั่นมันก็เป็นเพียงบทเรียนในอดีต ที่ตอนนี้ ตัวผมมีแผนรับมือแล้วในระยะยาว

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อจริงจริง เหมือนกับที่คำคมหลายประโยคได้ปรากฎในโลกอินเตอร์เน็ท ว่า

อย่าใส่ใจกับเป้าหมายมากไป ระหว่างทางก็สวยไม่แพ้กัน


เรื่องนี้ ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ยืนยัน

ฟันเฟิม และ คอนธง



-- ปัจฉิม ลิขวิด เปเปอร์ --

R: ไอ่ cheers เอ๊ย ตูดกู .. ...ชา ยั้งก่ะ โดนปิ๊กาจู้ปล่อยกระแสไฟฟ้าคลื่นต่ำใส่มาสามชั่วโมงติด
The Must: มึงไม่ใช่คนเดียวที่ประสบปัญหาว่ะเพื่อน






>> ฝากคอมเม้นต์แลกเบอร์โทร !

โปรดบอกความนัยกับผม