Sunday, October 5, 2014

#5 ขาว : Finale Chapter


ศีล ข้อที่ว่า คนแหกกันได้บ่อยๆ รัวๆ ที่ไม่ใช่ทั้งดื่มสุรา หรือ ตบยุง ต้องยกให้ข้อนี้ครับ


ศีลหมายเลขข้อ 4 ตัวเด็ด


ตามความเข้าใจโดยอัตโนมัติ ที่เติบโตมาในประเทศไทย เราจะถูกสอนมาอยู่แล้วว่า ศีลข้อนี้ กำกับไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ห้ามพูดโกหก’ -- ครับ -- ในชีวิตประจำวัน ผมจะหลีกเลี่ยงการพูดโกหก ทุกรูปแบบ ทุกระดับความตื้นลึกหนาบาง จนบางครั้ง ผมก็มองว่าตัวเองใช้ชีวิตยากไปหรือเปล่า  เพราะแม้กระทั่ง ‘White Lies’ ก็ไม่ใช้

แต่ ถ้าเอาให้ครบกติกาจริง ข้อที่ 4 คือ มีตัวที่ไม่ให้ละเมิด ดังนี้คือ อย่างแรกไม่โกหก ตามด้วยห้ามส่อเสียด, ห้ามเพ้อเจ้อ ..ห้ามเพ้อเจ้อนี่ผมโดนไปแล้ว เบาๆ เพราะปกติจะเพ้ออย่างเดียวไม่ใช่คนเพ้อเจ้อเท่าไร แต่ห้ามส่อเสียดนี่

แหม่

ผมผิดศีลทุกวันเลยมั้ง ฮ่ะๆๆๆ
เห็นผมเหมือนจะพูดจาด้วยง่าย แต่ผมนี่ เจ้าพ่อ Sarcasm ระดับจังหวัดเลยนะครับ เวลาใครถามคำถามอะไรที่มันฟังแล้ว ‘จะถามเพื่อ ?’ ผมก็จะลั่นไก ยิงคำตอบแนวยียวนไป

เช่น “ไปตัดผมมาเหรอ” ทั้งๆ ที่ หัวผมโล่งเตียนผิดสังเกตจากการพบเจอกันเมื่อวาน
ผมก็จะหยิกแกมหยอกไปว่า

เปล่า .. ผมมันร่วงไปเอง ร่วงเฉพาะโซนที่เห็นอ่ะ.. ร่วงเท่ดีเนาะ เป็นทรงเชียว


แต่ในชีวิตด้านมืดของผม มีการประชดประชันสูงมาก เพราะถ้าอยู่กับมนุษย์ที่เราพูดตรงๆ กับเขาไม่ได้ กลไกนี้ของผม จะทำงานทันที -- ซึ่งกลับมามองนี่..ไอ้เรา ม๊านน ผิดศีลได้ทุกวัน สะสมบาปไปกี่เข่งแล้วหนา

และความท้าทาย ในความแตกต่าง ขอการปฏิบัติศีล 5 และ 8 อยู่ตรงนี้ครับ

ในศีลเซ็ทมาตรฐานห้าข้อ ศีลทุกข้อล้วนถือปฏิบัติโดยอิสระจากกัน


พูดเอาง่ายคือ ถ้าคุณตบยุง คุณผิดศีลข้อ 1
ถ้าพูดแดกดันแม่ค้าที่ตลาด คุณผิดศีลข้อ 4

ข้อไหนข้อนั้น

พูดมาถึง ณ จุดนี้ บางทางเก็ทแล้ว -- ใช่แล้วครับ ศีล 8 เป็นศีลที่ผูกรวมกันเป็นมัดเดียว หากคุณทำเปื้อนข้อใดก็ตาม ศีลข้อที่เหลือ จะถูกแคนเซิ่ล ตามทั้งยวง สมมติคุณตบยุง ศีลข้อที่เหลืออีกเจ็ดคุณถูกพิภากษาให้เป็นโมฆะทันทีครับ หรือสมมติว่าทานอาหารหลังเที่ยง โดยแอบโกง ทานของที่มีกากใยคะแนนการเก็บบารมีบุญ ของข้ออื่นๆ ที่รักษามา ก็ถูกรีเซ็ตเช่นเดียวกัน


ใช่ครับ ศีลข้อที่เพิ่มเข้ามา หนึ่งในนั้นคือ การห้ามทานอาหารหลังเที่ยง, ข้อถัดมา -- ข้อที่เจ็ด คือห้ามร้องเพลง ห้ามฟังเพลง ห้ามเล่นอุปกรณ์ดนตรี

(ขอแสดงความเสียใจกับนักศึกษา มหิดล วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ไว้ ณ ที่นี้)


และในข้อนี้ ยังห้าม ทัดดอกไม้ และใช้เครื่องประทินผิว ห้ามใส่เครื่องประดับ ข้อสุดท้าย ในหมวดหมู่ศีล 8 คือ ห้ามนอนที่สูง นุ่ม อันมีราคาฟุ่มเฟือย แค่ความท้าทายในการรักษาศีลนี่ก็มันส์แล้วครับ

ศาสตร์ ของศาสนา เป็นเรื่องที่เป็นแนวเฉพาะบุคคลจริงๆ ความเชื่อโดยมาก จะขัดแย้งกับการดำรงชีวิตมนุษย์สังคมเมืองโดยสิ้นเชิง แค่มีศีลข้อ 4 คุณก็ทำ Modern marketing ได้ยากแล้วครับ อันที่จริง ไม่ต้องโมเดิร์นหรอก การตลาดยุคไหนก็แลดูเหมือนจะขัดกับศีลข้อ 4 ยกเว้นว่าคุณขายปัจจัย 4 แบบ เอาแค่ตัวเองพออยู่พอกิน

มันเป็น loop ที่เราต้องพิจาณาอย่างละเอียดนะครับ สำหรับชีวิตคน คนเรา มักจบที่การ 'ไม่คิดมาก' และใช้ชีวิตอย่าง 'ฟรีสไตล์' บางคนคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่มีหรอกครับ ชีวิตฟรีสไตล์ -- เรา จะต้องเป็นทาสใครซักคน บนโลกใบนี้

ถ้าคุณตามใจตัวเอง คุณก็ตกเป็นทาสตัวเองเรียบร้อยแล้ว และการเป็นทาสของตัวเองน่ากลัวกว่าการเป็นลูกน้องใครๆ หลายสิบเท่าตัว


คุณพนันกับผมได้เลยกับความจริงข้อนี้ เล่นไอ่แก่กินน้ำก็ได้ ผมรับรองว่าถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับผม คุณได้จุกน้ำตายแน่นอน -- ไม่ใช่เพราะความคิดผมถูก ความคิดผมดี แต่เป็นเพราะ ผม เดินตามเส้นทาง 'การตามใจตัวเอง' มาอย่างยาวนาน

แล้วมันสร้างผลลัพธ์ที่เสียหาย เป็นอย่างมาก

รู้สึกตัวอีกที ก็เริ่มจะแก้ไขยากแล้ว ซึ่งตรงนี้อยากให้เก็บกับไปหมุนๆอยู่ในหัวบ้างซักเล็กน้อยครับ ผมได้ยินหลายคนที่พยายามพูดและใช้ชีวิต ในแบบ Free Style โดยความหมายของพวกเขา คือ ใช้ชีวิตไปไม่คิดอะไร แล้วผมก็เห็นคนเหล่านี้ เดินวนเวียนอยู่ในเขตวงกลม cycle เดิมๆ, ปัญหาเรื้อรังเดิมๆ ไม่ได้ไปไหนซักที

แต่การพิจารณาปัญหามากไป อย่างตัวตนที่ผมเป็นในอดีต ก็ไม่ใช่เรื่องดี -- สอง สาม ปีมานี่ ผมเลยมุ่งวิธีแก้ปัญหา มาที่การปฎิบัติในศาสนาพุทธ เยอะหน่อย

ทิ้งทวนนะครับ การปฎิบัติ ในศาสนา ไม่ใช่การรู้แค่บทสวด, สวดมนต์ได้, รู้คำสอนหลายตำรา รู้ศีล 10 ข้ออย่างแม่นยำ สิ่งเหล่านั้น ยังห่างไกล แกนใน ที่เรียกกันว่า ศาสนา อยู่หลายหลักไมล์เหมือนกัน สิ่งที่ศาสนามีให้ท่านจริงๆ คือ ท่านนำเอาสิ่งที่ศาสนาสอนไปใช้งานครับ

มันมีเท่านั้นจริงๆ ..มีคำกล่าวว่า

การที่ท่านรู้ว่า การนั่งปฏิบัติกรรมฐาน ทำให้ท่านทำงานได้เก่งขึ้น -- ก็ไม่ได้ทำให้ท่านทำงานเก่งขึ้น

แต่หากท่าน ปฏิบัติกรรมฐาน แค่นั่งทำให้จริงเท่านั้นแหล่ะ

ฝีมือสมองท่าน จะพัฒนาเอง ตามสภาพอัตโนมัติ


มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆ ครับ คนลงมือทำเท่านั้น จะรู้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น



เหมือนยอดนัก Sales นี่แหล่ะครับ ตัวเขาเท่านั้น ที่รู้วิธีอย่างแจ่มแจ้งไม่ต้องท่องอะไรให้เปลืองหน่วยความจำ เพราะเขา Learn by doing

การปฏิบัติในศาสนาก็เหมือนกัน หากท่านอ่านถึงตรงนี้ แล้วเริ่มรู้สึกอยากไปทดสอบความจริงด้วยตัวท่านเอง ถือว่าท่านดวงดีมากทีเดียว เป็นเรื่องของแต่ละคนนะครับ อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโดยดุษฏี จริงๆ


จะว่าไป วันเวลาในดินแดนดังกล่าว มันช้า เหมือนสมัยเวลาที่เราเป็นเด็กแล้วเฝ้ารออะไรบางอย่าง มันไม่เหมือนโลกภายนอกที่เวลาในหนึ่งวันเหมือนมีแค่ 6 ชั่วโมง

แต่ในนั้น หนึ่งวัน คือ 24 ชั่วโมง ครบถ้วน




แต่มันน่าแปลก เมื่อคุณได้จบเป้าหมายที่กำหนดไว้ 3 วันในการปฏิบัติ คุณจะรู้สึกว่า มันเป็นแค่ช่วงเวลาในความฝัน วูบเดียว แล้วตื่นขึ้นมาในโลกอีกใบ ที่คุณคุ้นเคยเป็นอย่างดี

ผมกลับมาที่บ้านด้วยอาการยิ้มแย้ม มีความสุขของคนในบ้านอย่างแปลกหูแปลกตา เสียงหัวเราะที่ไม่เคยได้ยินมาหลายเดือนในบ้าน ก็กลับมาดังอีกรอบ เหมือนเวทมนตร์ที่ไม่มีเหตุผลครับ ผมเองก็อธิบายอะไรไม่ได้เยอะ เข้าทำนอง 'ทำเองแล้วจะรู้เอง' คอนเซปท์ มีเท่านี้ จริงๆ และนี่ผมไปแค่ 3 วันนะครับ

ผมพยายามจะจินตนการต่อ หากผมทำได้ต่อเนื่อง แค่สัปดาห์ละ 10 ชั่วโมง ต่อเนื่องกันไป ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะของคนในบ้านได้ยาวนานขนาดไหน





https://lh4.googleusercontent.com/-BD7UOttz3xg/VC8_uPDZ5DI/AAAAAAAACPM/_zC5isAbRsY/w872-h490-no/DSC_1706-001.JPG



นี่แหล่ะครับ เรื่องทั้งหมดที่ผมไปลงมือ action มาให้เกิดผลในโลกนี้ มีหลายความเชื่อครับ ตัวผมเอง ก็ลงทุนพิสูจน์มาแล้วกับคำคมของใครต่อใครที่พูดกัน

ปรากฎว่า ฟาลว์ เยอะมากทีเดียว

บางที คำคมนั้น มันไม่ตรงกับตัวตนภายในเรา ไม่ต้องกับรูปแบบชีวิต ทำไป ชีวิตจะเขวเอาง่ายๆ มีแต่ framework ที่ชื่อว่า ศาสนาพุทธ นี่แหล่ะครับ ที่ผมได้ยินผู้ที่นำไปใช้แล้วบอกต่อกันทุกราย


อันนี้ เป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ ว่ายาก : )



1 comment:

  1. "ถ้าคุณตามใจตัวเอง คุณก็ตกเป็นทาสตัวเองเรียบร้อยแล้ว และการเป็นทาสของตัวเองน่ากลัวกว่าการเป็นลูกน้องใครๆ หลายสิบเท่าตัว" ชอบอันนี้

    ที่เขียนออกมานับว่าลึกซึ้งเลยทีเดียว

    แล้วท่านจะได้รู้ว่า บางอารมณ์ ก็จะรู้สึกปิติ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ท่านจะไม่รู้สึกแย่ในชีวิต แม้ชีวิตของท่านจะแย่อย่างแสนสาหัสก็ตาม ท่านจะมีความคิดอันวิจิตรโผล่เข้ามาให้ท่านได้รู้เอง อันนี้ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของความเพียรที่ได้กระทำ อันที่เรียกว่า บุญก้อแล้วกัน...

    ReplyDelete